จำ-ลืม-ความรัก กับ Eternal Sunshine of The Spotless Mind
- MOOMNT M
- Oct 22, 2021
- 1 min read
Updated: Jul 21, 2024
ถ้าเราลบความทรงจำได้ล่ะจะเป็นยังไง?
(บทความอาจเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์)

เมื่อวันก่อนดูหนังเรื่อง Eternal Sunshine of The Spotless Mind ชื่อภาพยนตร์ยาวจำยาก ง่ายต่อการลืม ว่าด้วยเรื่องอาการจำ-ลืม-ความรัก 3 คำนี้ก็คงพอนิยามหนังเรื่องนี้ได้หมด
เรื่องราวของโจเอล (Joel) ชายหนุ่ม รับบทโดย จิม แครี่ (Jim Carrey) ภาพจำเป็นพระเอกตัวเขียวแห่ง The Mask และสารพัดหนังแฟนตาซี เปลี่ยนแนวมาเล่นหนังรักเช่นนี้ก็ดูแปลกตา ที่วันหนึ่งเกิดพบว่าหญิงสาวคนรักอย่างคลีเมนไทน์ (Clementine) เกิดจำเขาไม่ได้ เอ้า! หลังจากนั้นตาโจเอลเลยเอาบ้าง ขอลบความทรงจำอย่างที่เธอทำ ดูเหมือนประชดอย่างไรอย่างนั้น เพราะความช้ำรักเป็นเหตุ
เวลาอกหักดังเป๊าะ เรามักอยากขอให้ลืมความทรงจำเกี่ยวกับคนที่รักไปสักนิด เผื่อว่าจะได้มีวิธีทำใจให้หายดีได้ในเร็ววัน เลยไม่แปลกใจ แถมแอบเห็นด้วยที่พระเอกของเรื่องจะอยากลืม
ประจวบเหมาะพอดีไม่นานมานี้ก็มีเพื่อนเพิ่งอกหักมารอบใหญ่ ฟังเรื่องราวแล้วนึกถึงตัวเองสมัยที่ยังคลั่งรัก เวลาเพื่อนเตือนไม่เคยฟัง ถึงเวลาก็ต้องกลับมานั่งคอตกตอนกลายเป็นเพื่อนคนนั้นเสียเอง ไม่น่าเชื่อว่ามีคำพูดหนึ่งที่เราและเพื่อนถามออกเหมือนกัน คือ
"เมื่อไหร่จะดีขึ้น"
"อีกนานแค่ไหนกว่าจะทำใจได้"
พอเห็นคำถามเหล่านี้ ก็นึกถึงวิธีที่จะทำให้อยู่กับความชอกช้ำนี้อย่างเข้าใจ ด้วยหลักทางจิตวิทยาที่เคยเรียนมาตอนมหาวิทยาลัย อาจารย์สิทธิชัยเคยกล่าวไว้เรื่อง 5 Stages of Grief
นี่คือทฤษฎีของ Elisabeth Kübler-Ross เธอคือจิตแพทย์ที่สังเกตผู้ป่วยมาหลายปีจนคิดค้นโมเดลนี้ขึ้นในปี 1969 ทฤษฎีของเธอใช้อธิบายเวลาเราสูญเสียอะไรบางอย่างในชีวิต (รวมถึงอาการอกหัก) แล้วเกิดความเศร้าโศก ซึ่งคนส่วนมากมักจะมีอาการ 5 ข้อนี้ (เธอบอกว่าอาจเกิดอะไรก่อนหลังก็ได้ หรือเกิดไม่ครบทุกข้อ ก็เป็นไปได้เช่นกัน)
อาการที่ 1 : Denial ปฎิเสธความจริง
ทำไมเราถึงยอมรับความจริงไม่ได้สักทีว่าเขาไม่ได้รักเราแล้ว นี่คือเรื่องปกติ ไม่ต้องตกใจไป เพราะมันคือกลไกการป้องกันตัวเองของมนุษย์ (Defense Mechanism) เวลาเจอเรื่องที่ไม่ชอบใจหรือไม่ถูกใจกำลังวิ่งเข้ามาในชีวิต มนุษย์จะเรียกการ์ดมาคอยคุ้มกันเราทันที ซึ่งอาจเป็นวิธีที่โจเอลตัวเอกจาก Eternal Sunshine of The Spotless Mind กำลังพยายามทำ คือลบความทรงจำของเขาและคนรัก เพื่อปฎิเสธอาการผิดหวังที่คนรักลืมเขา
อาการที่ 2 : Anger โกรธเกรี้ยว
แน่นอนว่าเวลาที่เขาไม่รักเราอีกแล้ว มันก็ต้องมีโกรธกันบ้าง มีทั้งอาจโกรธทั้งคนที่ทำเราเสียใจ หรือบางคนอาจจะโกรธตัวเองที่ทำผิด เป็นไปได้ทั้งสองอย่าง ตัวโจเอลเองก็หุนหันพลันแล่น โกรธที่คลีเมนไทน์ลบความทรงจำเกี่ยวกับเขา เจ้าตัวเลยอยากลองทำบ้าง สุดท้ายคิดได้ว่าไม่อยากลืม แต่ดันเข้าเครื่องลบความทรงจำไปเสียแล้ว
อาการที่ 3 : Bargaining ต่อรองขอร้องเธออย่าไป
พอเลิกกัน บางครั้งบางคนก็กอดขาคุกเข่าอ้อนวอนเธออย่าไป บางครั้งก็ขอแค่ว่าเรายังเป็นเพื่อนกันได้ไหม นี่คือกฎของการต่อรอง ไม่แน่ใจว่าข้อนี้มีในตัวเอกของเราหรือไม่ แต่การขอให้ไม่ลืมคนรัก อาจจะเป็นการกำลังต่อรองชนิดหนึ่งก็ได้ ถึงจะไม่รักกันแล้ว แต่ยังอยากเก็บความทรงจำของเธอคนนั้นเอาไว้
อาการที่ 4 : Depression โศกเศร้าเสียใจ
แต่สุดท้าย ความทรงจำดีๆ ที่เคยมีร่วมกันก็ทำเราเศร้าได้มากกว่าเรื่องไหนๆ สิ่งที่เคยทำและอยากทำด้วยกันในแผนผังอนาคตที่วางไว้ด้วยกัน แต่วันนั้นมันมาไม่ถึง ก็ย่อมเสียใจเพราะมันจะไม่เกิดขึ้นและผิดไปจากที่คาดไว้ ด้วยเหตุนี้กระมัง ฝั่งตัวเอกถึงอยากลบความทรงจำตั้งแต่แรก
อาการที่ 5 : Acceptance ยอมรับความจริงแล้วมูฟออน
อาการนี้ดูตรงข้ามกับข้อแรกอย่างเห็นได้ชัด แต่เชื่อเถอะว่าคนอกหักและผิดหวังทั้งหลาย จะมีวันคลายจากความเศร้า ดังเช่นที่สุดท้ายแล้วทั้งคลีเมนไทน์และโจเอลกลับมาย้อนนั่งฟังเทปถึงเหตุผลก่อนที่จะลบความทรงจำ ว่าแท้ที่จริง ความทรงจำที่พวกเขามีต่อกัน ทำให้ยอมรับว่าความรักของพวกเขาเคยเกิดขึ้นจริง ยอมรับว่าต่างเคยเป็นข้อเสียของกันและกัน แล้วทำมันให้ดีขึ้นในความสัมพันธ์ครั้งหน้า
เราเลยไม่เชื่อว่า “ผู้ที่รู้จักลืมย่อมมีความสุข เพราะพวกเขาเอาชนะความเขลาของตัวเองได้” เพราะการลืมไม่ใช่การแก้ปัญหา หากแต่การจำได้ต่างหากว่ามันเป็นปัญหาจึงจะทำให้เราผ่านมันไปได้ เหมือนกับเพลงของ อิ้ง วรันธร ที่บอกเอาไว้นั่นแหละว่าการลบไม่ได้ช่วยให้ลืม

ประโยคที่ชอบที่สุดจากหนังเรื่องนี้คือตอนที่โจเอลพูดกับนางเอกในความคิดตัวเอง
‘That’s it, Joel. It’s gonna be gone soon.’
(นั่นไงโจเอล เดี๋ยวมันก็หายไปหมดแล้ว)
'I know.'
(ผมรู้)
‘What do we do?’
(แล้วเราจะทำยังไงกันดี)
‘Enjoy it.’
(สนุกมันกับมันสิ)
ภาพ : imbd.com
Opmerkingen